ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

คลอง(โอตารุ Otaru) แสนแซ่บ ไม่ไปไม่ได้

                            
 
       ความหม่นมัวของฤดูหนาว ไม่สามารถทำร้ายมนต์เสน่ห์ของคลองนี้ได้ ยิ่งกลับขับเน้นความเก่าขลังของตึกอิฐสีตุ่นๆให้โดดเด่นมากขึ้นและมากขึ้น
                               -ถุงแป้ง-





      เราคืนรถที่เช่ามาไปเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวาน แม้จะทุลักทุเลที่ต้องขับไปคืนที่สนามบินชินชิโตเสะ แล้วต่อรถเมล์กลับมาซับโปโร่หน่อยก็ตาม (ปกติ ก็ไม่เคยทำอย่างนี้ คืนรถที่สนามบิน ก็บินกลับเลย ใครใช้ให้ทำแบบนี้!!! โกรธตัวเอง)
       อากาศเช้านี้ ค่อนข้างมัว มีหิมะปรอยๆแต่เช้า พยากรณ์อากาศทำให้ใจเราห่อเหี่ยวขึ้นไปอีกว่า จะมีหิมะตกทั้งวันประปราย สงสัยภาพเราที่โอตารุจะไม่งามละ งานนี้
                  
ข้างนอกหน้าต่างเป็นไอความร้อนจากฮีตเตอร์ในตัวรถกระทบกับความเย็นข้างนอก ซึ่งตอนนี้ หิมะกำลังตกลงมาอีก    

   ฉันไม่ค่อยคุ้นกับการนั่งรถไฟ หาข้อมูลแบบคลำๆ ว่า ไปสถานีเจอาร์ โอตารุ ได้ง่ายๆเลย จากสถานี ซับโปโรใช้เวลาเดินทางเพียง 30-40นาที ขึ้นอยู่กับขบวนรถที่เราจับพลัดจับผลูมาทันขบวนไหน ถามคนขายตั๋วไปเลยก็ได้ค่ะ ว่าขบวนไหนใช้เวลาน้อย ถึงไว ก็ไปรอที่ชานชาลานั้นๆ เวลานั้นๆ
มารู้จักกับโอตารุ กันแบบคร่าวสุดๆคือ

  โอตารุ เป็นเมืองแห่งของหวาน อาหารทะเลอร่อย เพราะที่นี่ก็เคยเป็นเมืองท่าสำคัญ รองจากฮาโกดาเตะ ในตัวเมืองเล็กๆนั้น มีตึกทางการเก่าๆที่นำมาปรับปรุงเป็นร้านอาหาร ร้านขายของให้นักท่องเที่ยวได้มาเดินชมหรือเข้าใช้บริการมากมายเลย เช่น ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดีก็คงเป็นร้านขนมชีสเค้ก Le Tao เจ้าดัง ร้านขายเครื่องแก้ว และพิพิธภัณฑ์หีบเพลง
อ่านแล้วไม่มาไม่ได้แล้วใช่มั้ยคะ?
   พอลงจากรถไฟ ก็ได้รับการต้อนรับจากม่านหิมะกันเลย ยืนมองออกไปจากชานชาลา แล้วสูดหายใจคนละหลายเฮือก เราสามคน แม่และน้องชาย ก็รีบจ้ำๆตามกลุ่มนักท่องเที่ยวคนอื่นๆไป ความกลัวในการเที่ยววันนี้ คงก่อเกิดในใจของทุกคนเช่นกัน

เบื้องหลังนั้น คือ ปมชีวิต (ผ้าคลุมผืนใหญ่มาก ไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี)

   ด้วยความที่หิมะเริ่มตกหนักขึ้น เราเลยตัดสินใจเข้าไปฆ่าเวลาในร้านซูชิร้านแรกที่เราประสบพบเจอหลังจากข้ามถนนออกมาจากสถานีเจอาร์ มันเป็นร้านเล็กๆบนถนน Chuo อ่ะค่ะ มีโคมแดงห้อยระย้า ประตูไม้แบบบานเลื่อน น่าจะเป็นร้านแรกๆเลย ถ้าเดินมาจากสถานี
   ภายใน มีคนนั่งอยู่เกือบเต็มแล้ว ด้วยความที่ร้านเล็กมาก มีเก้าอี้ตรงเคาน์เตอร์บาร์ 5-6ตัว และชุดโต๊ะเก้าอี้แยกติดหน้าต่าง 3โต๊ะถ้วน ร้านจึงดูคนแน่นมาก ข้อเสียของร้านเล็กคือ กลิ่นบุหรี่อบอวลถ้วนทั่ว ประหนึ่งเข้าไปในห้องสูบบุหรี่ตามสถานีรถไฟ
   คุณป้ากุลีกุจอจัดที่นั่งให้ตรงเคาน์เตอร์บาร์ ให้เรานั่งเรียงกัน ในร้านมีแค่เราหัวดำหน้าเหลืองจัด นอกนั้นเป็นคนของเขาหมด ท่าทางการสั่งอาหาร ต้องใช้บอดี้แลงเกวจ ค่อนข้างเยอะ เราเอาเมนูภาษาต่างดาวที่พอรู้งูๆปลาๆมาชี้โบ๊ชี้เบ๊ ผสมชี้ไปเมนูของโต๊ะข้างๆบ้าง พอป้า haiiiiii ! เราก็โล่งใจ รอดไปอีกมื้อ อยากทานแบบโลคอล ก็ต้องเมื่อยมือนิดส์

                          
อร่อยทุกอย่างงงงง ไม่เสียใจที่บุกเข้ามานั่งรมควันบุหรี่ตลอดทั้งมื้อ
ฟ้าสวรรค์ช่างมีตาและใจที่เมตตากรุณา พอเราทานกลางวันกันเสร็จ เดินออกมาจากร้าน ฟ้าเปิด วิวสะเดิดมากค่ะ
เรารีบจ้ำอ้าวตรงไปตามถนนสายหลักนี้ เพื่อไปที่จุดตั้งต้นของคลองโอตารุ ตรงจุดที่เขาขึ้นเรือ ซึ่งเป็นมุมถ่ายรูปยอดฮิตของที่นี่ สังเกตว่าฮิตไม่ฮิต ดูจากขนาดกลุ่มก้อนของคณะทัวร์จีน

กว่าคณะล้งเล้งทัวร์ จะสาแก่ใจกับมุมถ่ายรูปบริเวณนี้ เล่นเอาเรายืนรอหน้าแข็งไปพร้อมๆกับขา



ร้านรวงที่นี่ตกแต่งน่ารักสดใส สไตล์ยุโรปผสมญี่ปุ่น และราคาของก็แพงตามระดับความยากง่ายในการตกแต่งร้าน


โพสท่าเหมือนจะซื้อ ร้าน Kitaichi นี้เป็นร้านขายเครื่องแก้วขนาดใหญ่ที่คนน่าจะต้องเข้ามาดูทุกคน

มาถึง Le Tao  Pathos แล้ว เขาว่า ทานคาว ไม่ต่อหวาน สันดานไพร่ (แต่เราคือ ทาส)

มุมนั่งรอ คิวในร้านชั้นสอง โต๊ะเยอะจริง แต่ลูกค้าเยอะกว่า




สั่งมาครบคน เลี่ยนเกินบรรยายหลังจากคำที่4

จากหน้าต่างร้าน มองออกไปข้างนอก ที่นี่มีฟรีไวไฟให้ด้วย คนเลยนั่งกันนานนิดนึง

ถ่ายวนไปค่ะ วินโดว์ช้อปสนุกแล้ว ถ่ายรูปสนุกเข้าไปอีก


ตุ๊กตาแอนนาเบล เวอร์ชั่น หลอนน้อยในพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี

ร้านชาเขียวนี้ อยู่เยื้องกับ Le Tao ฝั่งตรงข้ามค่ะ เขียวได้ใจ ถ่ายรูปแล้วภาพออกมาดูพุ่งมาก ไอติมมัตฉะอร่อยเข้ม เต็มรสชา มีม้านั่งให้ข้างใน พร้อมเตาผิงไฟฟ้าเล็กๆให้คลายหนาว

                 


เราเลือกเดินกลับทางเดิม ฟ้าเริ่มมืด ทิวทัศน์เปลี่ยน สวยจับใจไปอีกแบบ ดีนะที่กลับทันเห็นเค้าเปิดไฟ


มุมนี้ ไม่มีใครคาดคิดที่จะมาโพสท่าถ่ายกับเจ้าป้ายชื่อเมืองเก่าๆนี้ พอเราเข้าไปถ่ายกันสักพัก คนอื่นๆเริ่มไหวตัว มายืนต่อคิวถ่ายบ้าง
ฉันควรไปทำงานฝ่ายหาโลเกชั่นในกองถ่ายละคร ท่าจะดี

              ขากลับ ลมสงบ หิมะหยุดตกไปนานแล้ว
             ทริปหนึ่งวันในโอตารุก็จบลงเช่นกัน แต่ภาพโกดังอิฐเก่าทอดยาวไปตามคลองญี่ปุ่นเล็กๆสายนี้ ท่ามกลางบรรยากาศหนาวเย็น และลำแสงรำไรจากเสาตะเกียงโคมต้นนั้น จะติดตรึงในใจของเราสามคนไปอีกยาวนาน

                





   





                                 

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อุทยานหินผาลำดับแรก แพะเมืองผี Garden of the Gods

                                                              คำเตือน  : โปรดใช้วิจารณญาณในการเลื่อนชม บุคคล และสถานที่ซึ่งได้มีการอ้างอิงถึงนี้ มาจากเรื่องจริง ท่านผู้อ่านที่เพิ่งรับประทานอาหารมื้อใหญ่มา กรุณา เว้นเวลาไว้สักเล็กน้อย ก่อนเข้าชม เนื่องจากภาพและอากัปกิริยาต่อหน้ากล้องของตัวละครในเนื้อเรื่องเหล่านี้ อาจมีความเหนือจริงและกวนอารมณ์ของท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ขอท่านผู้อ่านโปรดอดกลั้นที่จะเลื่อนอ่านจนจบ ทางผู้ผลิต จึงขออภัยมา ณ ที่นี้ เอย!          ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2559 พวกเราสามสาวโสด ( ซิงมั้ย ระบุละเอียดไม่ได้ ) ออกเดินทางจากกรุงเทพ ไปต่อเครื่องที่นาริตะเพื่อขึ้นเครื่องนิปปอนไปลงเดนเวอร์ รัฐโคโรลาโด ที่เราจะอาศัยบ้านเพื่อนเป็นที่ซุกหัวนอนฟรีไปถึง3คืน  เพื่อปรับเวลาต่างของไทม์โซนให้ร่างกายคุ้นชินขึ้น และเพื่อศึกษาการขับรถพวงมาลัยซ้ายจากเพื่อนไปคร่าวๆก่อนที่เราจะไปรับรถ...

ลุยหิมะชมศาลเจ้า Kamikawa และมุ้งมิ้งส่องสัตว์ที่ Asahiyama Zoo

                       ฉันเป็นคนชอบไปศาลเจ้า ฉันไปมาหลายจังหวัดในญี่ปุ่น เพื่อไปเดินเล่นและสักการะศาลเจ้า และจนถึงตอนนี้ ฉันได้ค้นพบศาลเจ้าที่ฉันโปรดปรานมากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือที่นี่                           -ถุงแป้ง- เราตื่นมาพร้อมความสดชื่น เตียงนอนนุ่มสบายมาก ขอโปรโมตโรงแรมนี้ ดีงามพระรามยุ่นมาก นี่คือสภาพรถตอนเข้านำจอดเมื่อคืน ฉันออกไปรับรถที่ฝากไว้กับโรงแรม (มีค่าใช้จ่ายนะแจ๊ะ) โดยยื่นบัตรแข็งเล็กๆที่แสดงว่าเราได้รับการสแตมป์กับโรงแรมแล้ว ให้ลุงที่ดูแลจุดจอดรถแบบใช้ลิฟต์ รอสักพัก รถเราก็ลงมากับลิฟต์ฝั่งขวา (มีสองฝั่งสลับกัน) แต่ไม่ใช่ว่ามันจะไถตัวออกมาได้โดยเครื่องมือใดๆนะ เราต้องเข้าไปขับออกมาเอง โดยมีลุงคอยบอก ว่าให้ระวังอะไรซ้ายขวา ยังงัย ตอนออกง่ายกว่าตอนเข้า ซึ่งต้องตั้งลำให้ดี หุบกระจกข้าง และมองกระจกที่เค้าแปะไว้ข้างในว่า รถเราตั้งองศาตรงมั้ย  และอีกตามเคยที่ฉันขับออกมา ก็จะเลี้ยวออกผิดด้าน เพราะในเมืองใหญ่ในญี่ปุ่น หลายที่เดิ...

ไทเป Little Tokyo แบบฮิปสเตอร์สไตล์เซอร์กับฉัน part 2

                         Taipei ไทเป Part 2              Treasure Hills Artist Village                เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือขององค์กรอนุรักษ์ผลงานอารต์ๆองค์กรหนึ่งกับรัฐบาลไต้หวันในการพัฒนาชุมชนทิ้งร้างที่เกิดจากการรวมตัวแบบผิดกฏหมายในอดีตของกลุ่มทหารพรรคก๊กมินตั๋งที่ลี้ภัยการเมืองจากจีนแผ่นดินใหญ่มาอาศัยอยู่ที่นี่ โดยมีสถาปนิกชาวฟินนิชเข้ามาช่วยเหลือในการออกแบบฟื้นฟูปรับปรุงโครงสร้างของบ้านหลังเก่าๆทรุดโทรมหลายหลัง พร้อมเชื่อมต่อบันไดในหลายๆจุดให้เดินถึงกัน แลดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่เด็ดกว่านั้นคือที่นี่จะเป็นต้นแบบความเป็นอยู่ร่วมกันแบบพอเพียง มีแปลงเกษตรในตัว การรักษาระบบนิเวศเพื่อความยั่งยืนในอนาคตของลูกหลานสืบไปด้วย        สำหรับเราที่ตอนแรก รู้จักที่นี่แบบผิวเผิน ว่าเป็นที่ๆบรรดาอาร์ติสต์ตัวแม่เขามาบรรเลงแปรงสีบนกำแพงและผนังตามบ้านแต่ละหลัง ทำให้เป็นไฮไลต์ของการท่องเที่ยวไทเปอีกจุดหนึ่งแล้วนั้น เมื่อมาถ...

Hokkaido Fast & Furious ซิ่งทะลุ พายุหิมะเพื่อ บิเอ

                                 ทันใดนั้น! เกล็ดหิมะที่โปรยลงมาหวอยๆ พลันเร่งสปีดเร็วและแรงขึ้น เกล็ดเล็กๆรวมพลังกันโหมตามกระแสลมเทียบเท่าพายุหิมะ หรือ blizzard นั่นเอง! ฉันเริ่มมองไม่เห็นทางข้างหน้าในระยะ10เมตร หรือแม้กระทั่งไฟท้ายรถของคันหน้า..                                      -ถุงแป้ง- ทุกครั้งที่เดินทางในญี่ปุ่น ฉันจะเช่ารถขับค่ะ เพราะฉันชอบชนบทญี่ปุ่น นอนก็นอนที่ๆไม่ได้มีโลเกชั่นในเมืองใหญ่ๆ และสะดวกแม่ฉันด้วย ไม่ต้องขึ้นรถไฟ ลงรถไฟใต้ดินให้ปวดข้อเข่า และทุกครั้ง ฉันจะใช้บริการเช่ารถผ่านเว็บ https://www2.tocoo.jp/en/ ซึ่งเป็นเว็บเช่ารถของญี่ปุ่น เราใส่ความต้องการของเราไปว่า เราจะไปภาคไหน เมืองอะไร รับรถที่จุดไหน จีพีเอสภาษาอะไร รถรุ่นใหญ่หรือเล็ก เสร็จแล้ว หน้าจอก็จะแสดงผลว่า มีรถของศูนย์เช่ารถอะไรบ้างที่มีร...

ถนนอื่นเรียกแม่ Route 66 และ เขื่อนยักษ์ Hoover

                                                        ถนนสาย 66 คือ ถนนแห่งมารดร Mother Road ก่อนอื่น ขอฝากชมทริปรถบ้านของสาวๆตะลุยอเมริกาตะวันตก ที่รกร้างเวิ้งว้าง ตามสไตล์ Bkkglampgirl ด้วยค่า                                                ตอนนี้ ก็มาเข้าเรื่องกันเลยค่า        ใครมาเที่ยวอเมริกาฝั่งตะวันตก แล้วไม่มาขับบนรถถนนสาย 66 ถือว่าเข้าไม่ถึงความเป็นอเมริกาอย่างแท้จริง            ด้วยความยาวเกือบ4,000 กม. จากจุดเริ่มต้นที่อิลลินอยส์ จวบจุดสุดท้ายที่แคลิฟอร์เนีย การเดินทางบนเส้นทางสายอดีตนี้ อาจต้องใช้เวลาถึง 8 วัน  และถ้าท่องไปตามถนนเส้นนี้ทางตะวันตก จะผ่านเขตสงวนอินเดียนแดงหลายเผ่าด้วยกัน. ปัจจุบัน สาย 66 ถูกตัดผ่านด้วยถนนสายใหม่มากมาย เส้นทางดั้งเดิมจริงๆที่ยัง...