ถนนสาย 66 คือ ถนนแห่งมารดร Mother Road
ก่อนอื่น ขอฝากชมทริปรถบ้านของสาวๆตะลุยอเมริกาตะวันตก ที่รกร้างเวิ้งว้าง ตามสไตล์ Bkkglampgirl ด้วยค่า
ตอนนี้ ก็มาเข้าเรื่องกันเลยค่า
ใครมาเที่ยวอเมริกาฝั่งตะวันตก แล้วไม่มาขับบนรถถนนสาย 66 ถือว่าเข้าไม่ถึงความเป็นอเมริกาอย่างแท้จริง
ด้วยความยาวเกือบ4,000 กม. จากจุดเริ่มต้นที่อิลลินอยส์ จวบจุดสุดท้ายที่แคลิฟอร์เนีย การเดินทางบนเส้นทางสายอดีตนี้ อาจต้องใช้เวลาถึง 8 วัน และถ้าท่องไปตามถนนเส้นนี้ทางตะวันตก จะผ่านเขตสงวนอินเดียนแดงหลายเผ่าด้วยกัน. ปัจจุบัน สาย 66 ถูกตัดผ่านด้วยถนนสายใหม่มากมาย เส้นทางดั้งเดิมจริงๆที่ยังคงถูกเรียกว่า เป็นสาย 66 ดั้งเดิมเหลือน้อยลงเต็มที
เราตั้งใจผ่านถนนสาย 66 เพื่อเดินทางไปเที่ยวเขื่อนHoover และลาสเวกัส โดยเน้นว่าต้องผ่านเมือง Seligman ที่ฉันค้นคว้ามาว่า เป็นเมืองที่ยังคงโปรโมตความคลาสสิกของถนนสายนี้ จนเป็นจุดถ่ายรูปสำคัญ ที่นักท่องเที่ยวคนไหนอยากได้ภาพคู่กับสัญลักษณ์ต่างๆที่แสดงความเป็น Route 66 ต้องมากัน เอาเป็นว่า เลข 66 อยู่จุดไหนในเมืองนี้ คนกับกล้องก็ปรี่กันเข้าไปสุดฤทธิ์
แต่ก่อนจะถึง Seligman เราพักกันที่เมือง Williams รัฐอริโซนา หนึ่งในเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์บนถนนสายเก่า 66 โดยWilliams เป็นเมืองหน้าด่านที่คนจะเดินทางไปหรือออกจากแกรนด์แคนยอน Southrim ใช้เป็นจุดพัก แถวที่พักที่ Williams ตัวอักษรตามป้ายจะดูย้อนยุค
วิวด้านหลังดูเงียบเหงา ไร้ผู้คนอีกตามเคย นี่ไม่ได้ปิดเมือง มาถ่ายทำแต่อย่างใด
เราตื่นกันมาเดินเล่นตอนเช้า ซึ่งจำได้ว่า เป็นวันอาทิตย์!!! คนออกมาทำกิจกรรมสายและแล้วร้านไอศกรีม เจ้าดังบนถนนสายนี้ ก็ปิด!!! เพราะเป็นวันอาติ๊ดดด !!! อร๊ายยย เสียงหลงงง อนาจมาก!! นี่ส่องกระจกเข้าไปภายในร้านไอศกรีมนี่แหละ เกร๋ป้ะล่ะ !! เสียดาย-ิบ!!
เราเดินถ่ายรูปแถวโรงแรมได้สักพัก พอแน่ใจว่า ร้านไอศกรีม ไม่ง้อลูกค้าหัวดำแซมแดง อย่างเราแน่ๆละ เราก็เลยสะบัดบ๊อบใส่ (อะไรก็ไม่รู้) แล้วขับรถจากมา
ฉันใส่เบอร์โทร ร้านไอศกรีม Snow Cap ที่อยู่ ใน Seligman เพราะกลัวว่า ป้าจีพีเอส จะพาเลยเมืองนี้เพราะนางคงจะบังคับให้เราใช้ถนนสายใหม่ คือ สาย 40 โดยถนนสายเก่า 66 จะเป็นถนนเส้นในที่ตีคู่มากับสาย 40นี่ล่ะ เวลาจะเข้าไปร้านไอศกรีมที่มีจุดถ่ายรูปสำคัญๆ เราเหมือนต้องเบี่ยงเข้าเส้นโลคอลจากเส้นถนนหลัก ไม่งั้นจะเลยไป
กลิ่นอายประวัติศาสตร์ลอยตามลมมาเลย (เพราะเราเปิดหน้าต่างขับ) เมื่อใกล้ถึงที่หมาย เราใจชื้นเพราะมีนักท่องเที่ยวหัวทองมาก่อนหน้าเราคันสองคัน เรามาถูกทางละ แต่ยังงัยซะ Seligman ตอนนี้ ก็ดูประหนึ่งเมืองร้างไร้ผู้คนเช่น ในซีรียส์โปรดของฉัน อย่าง Walking Dead แต่เป็นเวอร์ชั่นย้อนยุคนะ
ขณะที่เราหาที่จอดรถใกล้ๆ ซึ่งไม่ยากเย็น ก็มีนักท่องเที่ยวชาวเกาหลี (อีกแล้ว) มาจอดรถข้างๆเราด้วยเช่นกัน พอนางจอดกันเสร็จ ก็พุ่งไปถ่ายรูปกันเร็วปานวอก เราก็เลยไม่ยอมแพ้ รีบส่องหามุมเจ๋งเพื่อจับจองพื้นที่ถ่ายแบบกันก่อนที่คนอื่นจะไหวตัวทัน
ร้านไอศกรีมนี้ ก็เป็นอีกร้านที่ ทำร้ายจิตใจ พวกเราสามสาวเป็นยิ่งนัก ปิดวันอาทิตย์ค้าาา!!!
นี่คือสภาพถนนที่ยังคงความออริจินัลไว้ให้มากที่สุดค่ะ สังเกตเสาไฟที่เป็นไม้
รถตำรวจคันนี้ขึ้นกล้องมากกกก!!! เป็นจุดขายของที่นี่อีกจุดนึง
นางแบบต้องการโชว์ความเก่าของแบ็คกราวนด์ แต่เสี่ยงจะโดนรถเสยมาก
พนักงานดับเพลิง รับดับไฟ ในใจคุณ
ไหน ?? ใครบอกว่า ไม่มีคน คนเต็มร้านเลย เห็นมั้ยเนี่ยย!!(คิดถึงเพื่อนสาวของฉันคนหนึ่งมาตะหงิดๆ นางคงอยากมาแต่งตัว เข้าเฟรมกับสาวๆพวกนี้ )
ก่อนออกเดินทางต่อ เราไปให้ร้านขายของที่ระลึกร้านสองร้านแถวนี้ตีหัวกันให้เลือดไหลพอซิบๆ ก่อน
แต่ก็นะ แม็กเนตติดตู้เย็นของที่นี่ สวยแปลกตาอยู่เหมือนกัน แต่ราคาแพ้งง แพง ถามว่า ซื้อมั้ย ก็ซื้อนะ สาวฝ้ายได้ของถูกใจ เพราะนางชอบซื้อเสื้อที่สกรีนโลโก้สถานที่ เดินเข้าออกสองสามร้าน (ก็มีอยู่แค่สามร้านนะ) เพื่อเทียบราคา ( นางเป็นเหยื่อการขายเสื้อโลโก้)
จากที่ทำการบ้านเพิ่มมาเมื่อคืน มีสถานที่เที่ยวอีกที่ๆเหมาะกับพวกคลั่งถ่ายรูปอย่างเรา โดยจัดเป็นตีม ให้ เหมือนอู่รถโบราณทิ้งร้าง เราสามารถเข้าไปถ่ายรูปได้ ขออภัยที่จำไม่ได้ค่ะว่าชื่ออะไร ถ้าเราเดินทางบนถนนสาย 40 ออกจาก Seligman อู่นี้อยู่ทางซ้าย เป็นป้ายใหญ่เลย
ข้างในออฟฟิศ ไม่มใครเลยค่ะ เราเป็นสามสาวโสดโดดเดี่ยวที่นี่
เรื่องเล่า เคล้าระทึก!! เกิดขึ้นเมื่อเราออกมาจากจุดนี้ จะขอเล่าว่า เรามีโชว์ ทักษะการขับรถแบบ Asian Drive ด้วยค่ะ คือ ถนนเส้น40เนี่ย กว้างมาก เป็นเลนสวนแต่ว่า แต่ละฝั่งจะมีเลนของตัว คนละ 2 เลน ดังนั้น บนถนนเส้นนี้ นับรวมแล้วมี4เลน แต่เกาะกลางก็มีแบบ เสียไม่ได้ บางจุดไม่มีเกาะกลาง แต่มีป้ายกำกับแค่คำว่า Wrong Way ถ้าเราเกิดขับไปบนเลนที่ผิดฝั่ง
และด้วยความที่ถนนมันโล่งมาก ไม่มีรถคันใดๆมาขับแซมเปิ้ลให้เราดูว่า เลนใครเป็นเลนใคร พอฉันขับออกมาจากอู่ ก็ท่องไว้ว่า ไปต่อทางเดิม รถขับเข้าเลนขวา ขับไปได้เรื่อยๆ ได้นิดเดียว เห็นป้ายขึ้นว่า Wrong way งงอ้ะ ทำไม บอกว่าเรามาผิดล่ะ และแล้ว พระเจ้าก็ประทานเฉลย
ภาพของรถยนต์คันหนึ่งขับมาจากระยะไกลมุ่งหน้ามาทางเรา บนเลนเดียวกัน !! ประหนึ่งในหนังที่มีการซิ่งวัดใจ !! โอ้ววว I got it! คือเราลืมกันไปว่า ถนนเส้นนี้กว้างมาก ถ้าเราออกมาจากอู่เมื่อกี้ และต้องไปเข้าเลนขวานั้น ต้องขับข้ามเลนฝั่งซ้ายที่มีอยู่สองเลนก่อน แล้วถึงจะไปฝั่งขวาได้ เพราะแต่ละฝั่งมีคนละสองเลนงัย ไม่ใช่การขับแบบสวนกันสองเลนเหมือนทางหลวงสายอื่น ของอเมริกา
กรี๊ดดดดด ป้าย wrong way ฉันเข้าใจจุดประสงค์ของเธอละ
ฉันก็ ยูเทิร์นในเลนนั้นคว้าบบบเลย แบบในหนัง ถ้าเป็นถนนดิน คงมีฝุ่นตลบ รถคันนั้นคงงุนงงอยู่เช่นกัน หวังว่าคนขับจะเป็นคนสูงวัย ตาฝ้าฟาง มองไม่เห็นว่าอะไรหมุนๆควงๆ อยู่ข้างหน้าอีก 300 เมตร
ยัยหญิงส่งเสียงดัง สรรเสริญฉัน Asian Drive!!!
พอกลับตัวรถได้ก็ซิ่งไปเข้าจุดกลับรถตรงเกาะกลางล่องหน
แล้วดีดตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
เพราะความอายและต้องการรักษาหน้าตาบรรพบุรุษ
เขื่อนฮูเวอร์ คือความภูมิใจของชนชาวอเมริกัน
ว่าตนสามารถสร้างอะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาจัดการความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติอย่างแม่น้ำโคโรลาโดสายกว้างใหญ่และเชี่ยวกรากมากๆได้
การมาของเขื่อนฮูเวอร์ เขื่อนคอนกรีตโค้ง ขนาดใหญ่ ในปี 1936 ถือว่า เป็นความสำเร็จเชิงวิศวกรรมโยธาในยุคนั้นกันเลย พื้นที่รอบเขื่อนเป็นทะเลทรายว่างๆ เมืองใกล้สุดคือ ลาสเวกัส จึงต้องสร้างเมืองขึ้นมาใหม่คือ Boulder city เพื่อให้แรง งานก่อสร้างมาพักอาศัย ประเด็นเรื่องชื่อเขื่อนมีดราม่ายาวนานเพราะเดิมตอนแรกชื่อ เขื่อนโบลเดอร์ สุดท้ายได้มติให้ตั้งตามประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งสมัยนันคือ Herbert Hoover
การจะมาที่เขื่อน ต้องใช้รถเท่านั้น ก่อนเข้าไป มีการตรวจเข้มหาวัตถุระเบิดตามรถ ตามหน้าคนโดยสาร พวกเรามีแค่หน้าเอเชียน เป็นอาวุธ แต่ไม่ถึงกับพกระเบิด เลยผ่านสบายกว่ารถที่มีหน้าแขกๆ คนผิวสี บางคนโดนเรียกให้ลงจากรถ ตบตามตัวเหมือนในหนังเลยทีเดียว
ลานจอดรถที่นี่มีหลายจุด แต่เป็นการขับขึ้นไปเรื่อยๆตามความชันของเขาโดยรอบ ตอนที่เรามา คนเยอะมาก ที่นี่คงฮอตมากช่วงสุดสัปดาห์ รถเท่ๆแนวๆ จอดเต็มไปหมด พอเราได้ที่จอดซึ่งถือว่าไกลพอสมควร ต้องไต่บันไดลงมาข้างล่างพอให้ข้อเข่ากร๊อบแกร๊บ เรารีบมาถ่ายรูปรอบนอกเขื่อนกันเลย เพราะเริ่มตกเย็นแล้ว
ท่าโพสนี้ ได้รับคำชมจากสาวผมทองที่รอต่อคิวอยู่เป็นสิบว่า น่าร้าากก แหม่ ก็คนอื่นมัวแต่ยืน พอเรานั่ง ก็เลยดูแปลกเด้ะ
วันนี้ จบการเดินทางแต่เพียงแค่นี้นะคะ เพราะสาระเยอะมาก ปวดหัวอีกแล้ว
พบกับทริปต่อไป
แนะนำ
Blog: เที่ยวบิเอ ฮอกไกโดค่ะ
https://www.blogger.com/blogger.g?blogID=276193659334372665#editor/target=post;postID=2947790874596790193;onPublishedMenu=publishedposts;onClosedMenu=publishedposts;postNum=7;src=postname
Vlogs: เที่ยวแคลิฟอร์เนียด้วยรถบ้าน
ทริปเที่ยวเกาหลีหน้า Falls
ทริปเที่ยวยูนิเวอร์แซล โอซาก้า
เที่ยวชิโกกุ
คลิปฮ่องกง หลังปีใหม่ 3วัน 2 คืน