จากคลิปยูทูปนี้นะค้า คลิกที่นี่ค่ะเก๊ารักเกาหลี ของ Bkkglampgal
โซลเดือนพฤศจิกาปีนี้ หนาวจับใจ แถมหิมะก็ชิงตกลงมาก่อนหน้าที่เราจะมาถึงเพียงสองวัน เราแอบหวังกันเล็กๆว่า เราน่าจะได้สัมผัสบรรยากาศยามหิมะโปรยปรายกันในปลายฤดูใบไม้ร่วงนี้กันซะละมั้ง (แต่เมื่อเกิดความคาดหวัง ความผิดหวังก็ย่อมมีเป็นของคู่กัน)
เครื่องบินของเราแตะพื้นตอนเวลาเช้าตรู่ เราและคนอื่นๆเดินลงจากเครื่องด้วยสีหน้าง่วงงุน โดยเฉพาะฉันที่หน้าจะดูแย่เป็นพิเศษกว่าใครเพื่อน เพราะได้งีบไปเพียงสามชั่วโมงแบบหลับๆตื่นๆ ฉันนัดเจอกับเพื่อนอีกสองคนที่เดินทางมาจากอีกไฟลท์หนึ่งที่มาถึงก่อนหน้าจากกรุงเทพตรงห้องน้ำแถวสายพานกระเป๋า เราล้างหน้าล้างตากันเรียบร้อย ก็ออกมาเดินวนหาทางไปต่อรถไฟเข้าเมือง สภาพเหมือนคนตาบอดคลำหาไม้เท้า ดีที่เจอพี่คนไทยที่กำลังรีบจะไปขึ้นเครื่องกลับ บอกทางให้ว่าต้องลงบันไดเลื่อนไปชั้นล่าง
บริการขนส่งเข้าเมืองของสนามบินมีตัวเลือกเพิ่มมาให้เราอีกหนึ่งออพชั่นคือ รถไฟ ระบบการขนส่งใหม่เอี่ยม จากที่เมื่อก่อน ออพชั่นสะดวกสุดคือ รถลิมูซีนเลขสี่ตัว ที่มีสายหลักๆที่ฉันเคยนั่งอยู่สองสาย โดยจะพาเราฝ่ารถติดน้องๆกรุงเทพ ในช่วงไพรม์ไทม์ เข้าสู่ตัวเมืองและเราต้องคอยส่องให้ดีว่า จุดที่เราจะลงอยู่ตรงไหนแน่ ถ้าใช้บริการรถไฟ ไม่ต้องงมมากค่ะ เพียงแต่คุณต้องกำลังแขน บ่า ไหล่ดี นิดนึง เพราะต้องลากกระเป๋าถูลู่ถูกังขึ้นบนลงล่างตอนต่อสายรถ บางสถานีก็ช่างใจไม้ไส้ระกำ ไม่มีลิฟต์ค่ะ อาจจะเพราะครั้งนี้ เรานึกอุตริ อยากลองพักแถวย่านเมียงดง เพื่อรำลึกความหลัง จากที่ก่อนๆมา พักกันแต่แถวฮงแด ชีวิตเราจะสบายไป เพราะถ้าเป็นสถานีฮงอิก เราไม่ต้องต่อรถไฟไงคะ จากสนามบินก็ถลามาลงที่ฮงอิกกันได้เลย
ต่อไปนี้ คือการแนะนำสถานที่ๆเรามาเที่ยวโซลครั้งนี้นะคะ บางที่เราไม่เคยไปโดนเลย หลงบ้างถามทางบ้างตลอดๆ แต่เดี๋ยวนี้มีกูเกิลแมป ช่วยชีวิตได้ค่า ไม่ต้องกลัวหลง
ฮานึล ปาร์ค Haneul park
การเดินทาง โดยรถไฟสาย 6 ลงสถานี World cup stadium ทางออก 1
เดินตรงตัดลานจอดรถที่อยู่ทางซ้ายมือ ของสเตเดียม จะมีป้ายชี้ทางไปสวนฮานึล เลาะเลียบสเตเดียมมาทางขวามือเรื่อยๆ เราจะมองห็นทางเข้าสวนด้านซ้ายมือและเห็นเนินเขาสูงๆ ข้ามถนนมาเลยค่ะ ตอนที่เรามากัน แสงแดดเริ่มอ่อนลงทุกทีๆ ใกล้พลบค่ำแล้ว เราก็เลยโดดขึ้นรถชัตเติ้ลเล็กๆของที่สวน โดยค่าโดยสารประมาณ สามพันวอน ไปกลับ ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะการเดินขึ้นเขาในช่วงที่เรามา สองข้างทางไม่สวยงามแล้ว หิมะที่ตกลงมาเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ได้คร่าชีวิตชีวาของผลหมากรากไม้แถวนี้ไปเรียบร้อย ทิ้งไว้แต่ความแห้งแล้ง และไม่เหลือร่องรอยความขาวใดๆของหิมะให้เราได้ชื่นชม
พอโดดลงจากชัตเติ้ลได้ เราก็รีบพุ่งตัวไปตามตรอกตามซอยที่เขาจัดให้ไปเลือกมุมถ่ายรูปกันได้ตามอำเภอใจ ใครคิดอยากจะแหวกพงแล้วแทรกตัวเข้าไปจุดไหน เขาก็ไม่ว่า หรือจะว่าก็ไม่รู้ แต่เราไม่เห็นมีใครมาเดินตรวจตราอะไร แบบนี้นี่เอง บางดง ต้นหญ้านี่ล้มคว่ำเป้นแถบๆ เพราะพี่ท่านเข้าไปเหยียบย่ำ เพื่อเอาหน้าไปแทรกกับใบไม้ใบหญ้าให้มาเคลียหน้ามากที่สุด ตามแบบฉบับการถ่ายรูปเพื่ออินสตาแกรมโดยเฉพาะ
ส่วนเราไม่คิดทำเทรลใหม่ ก็เดินตามร่องรอยที่มีคนก่อนหน้าได้ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังนั่นแหละ
เอาเข้าจริงๆ กว่าจะได้แต่ละรูป เล่นเอาช่างภาพมือสมัครเล่นอย่างเรา ถึงกับท้อเป้นช่วงๆ เพราะการถ่ายภาพกับต้นไม้ใบหญ้าให้ออกมาสวยไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย แถมหน้าตาเราตอนนั้นก็ยับแสนยับ คอลลาเจนหลบใน เพราะขาดการนอนหลับมาทั้งคืน รูปที่ออกมาดี ก็เลยมีเพียงเท่าที่เห็นนี่แหละค่ะ ที่พอจะอวดคนอื่นเขาได้
ที่เห็นข้างหลังเรานั่นคือ จุดที่เขาให้ตะกายขึ้นไปถ่ายรูป ได้มุมมองของสวนจากมุมสูงค่า
อ้อ อย่าลืมว่าตอนลงจากชัตเติ้ล ต้องถามเวลารถเที่ยวสุดท้ายจากน้าคนขับให้ดีนะคะว่ามาเวลาใดบ้าง ถ้าเกิดใครมาเวลาเลตอย่างเรา อากาศบนนี้ หนาวดีแท้ เพราะอยู่บนเนินเขา จะรอรถทีก็เย็นเยียบใช้ได้ นอกเสียจาก คุณจะเต้นแร้งเต้นกา ออกท่าออกทางโพสกับกล้องไปเรื่อยๆ ระหว่างรอ
D.D.P Dongdaemun Desigh Plaza
การเดินทาง สาย 2 สถานี Dongdaemun Historic&culture park ทางออก 1
ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อการพัฒนาความฝันด้านอาร์ต ดีไซน์ และการละเล่นต่างๆทั้งระดับประเทศและระดับสากล ปัจจุบันเป็นแลนด์มาร์คที่นักท่องเที่ยวหรือแม้กระทั่งคนท้องถิ่นเองก็จะมาแฮงก์เอาต์ ถ่ายรูป หรือนัดพบกัน บางคนก็ถูกแมวมองมาดักซุ่มพกพาไปเป็นดารานางแบบด้วยซ้ำ ใครจะมาที่นี่ แต่งตัวเพลนๆ เชยๆ จะรู้สึกว่าตัวเองขัดกับสถานที่ขึ้นมาทันใด ประหนึ่งไปเดินสยามด้วยชุดป้าท่ามกลางกลุ่มเด็กวัยรุ่นแต่งตัวจัดๆฮิปๆ จะมาที่นี่ ต้องแต่งตัวให้ดีค่ะ ขอเตือน อะไรแปลกๆ ก็โปะๆเข้าไป เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศโลกอนาคตของที่นี่ค่ะ
ท่านผู้อ่านคงคิดว่า แหม ตัวเธอแต่งชุดดูดีมากว่างั้น ไม่ใช่ค่ะ เรามากันก็ดึกดื่นแล้ว แมวมอง เด็กๆ เค้ากลับกันไปหมดแล้ว ความมืดก็ช่วยปิดบังความป้าของพวกเราไปได้บ้าง แถมตอนนี้ก็แสงสวยค่ะ เลยถ่ายรูปมาไม่เห็นริ้วรอยชัดมาก เลยแนะนำว่า มาค่ำๆก็ได้บรรยากาศของโลกอนาคตไปแบบจังๆเลยค่ะ
ตรงทางออก นี้เป็นจุดที่เราชอบกันมาก ใช้เวลานานในการนั่งเล่นที่จุดนี้ เพื่อซึมซับบรยากาศก่อนขึ้นยานกลับดาว
เดินทะลุไปด้านหลังจะเจอสวนกุหลาบฉบับนอกโลก Led Rose garden นะคะ ตอนที่เราเดินเนี่ย ฝนเริ่มตกปรอยๆลงมาแล้ว เลยไม่มีเวลาหามุมสวยๆกับสวนกุหลาบมากนัก รูปเลยออกมาให้เลือกไม่มาก
รอบนอกของที่นี่มีห้างใหญ่ๆเพียบเลยค่ะ นักช้อปทั้งหลายมาถ่ายรูปเสร็จ ก็เดินเข้าไปช้อปตามห้างต่างๆได้เลยค่ะ
Common ground ตลาดตู้คอนเทนเนอร์
การเดินทาง สาย 2 สถานี Konkuk university ทางออก 6
เป็นแนวคิดที่ตั้งใจสร้างสถานที่ใหม่ๆให้กลุ่มวัยรุ่นและอาร์ติสต์ได้มาเจอกัน ร้านรวงที่นี่จะไม่ใช่แบรนด์ขายของยี่ห้อดังเท่าไร จะเน้นไปทางงานอาร์ตๆของกลุ่มศิลปินรุ่นใหม่มากกว่า คาเฟ่ก็จะเป็นร้านแนวๆเก๋ๆ มีฟู้ดทรักมาขายชั้นล่างบ้าง ตรงลานกว้างที่คนฮิตมาถ่ายรูปกัน มีร้านอาหารไทยด้วย แต่เราไม่ได้เข้าไปลอง
เอาเข้าจริงๆ ที่นี่ไม่ได้มีอะไรให้ดูมากหรอก สำหรับนักท่องเที่ยวที่เวลามีค่าสำหรับเรา แต่ว่าการได้มาถ่ายรูปและเดินตามร้านเล็กๆบนชั้นสองของที่นี่ก็ถือว่าไม่ได้มาเสียเวลาไปเปล่าๆปรี้ๆ แถมรูปที่ถ่ายตรงลานยอดฮิตก็ถือว่า ทำให้เราไม่ตกเทรนด์ค่ะ
สีตู้คอนเทนเนอร์คือดี
คาเฟ่นี้ขึ้นชื่อเรื่อง เค้กสีรุ้ง อยู่ชั้นสามค่ะ ใครไม่รู้จะทำอะไร มานั่งทานเค้กที่นี่ก็ได้ค่ะ
ร้านดอกไม้ชั้นล่างเป็นร้านที่มีสาขาหลายแห่ง ชื่อ Able มีที่นั่งหน้าร้านให้เรานั่งพักถ่ายรูป และคิดแผนว่าจะเอางัยต่อ
คือนั่งของเขาซะนาน เพิ่งรู้ว่าเป็นที่นั่งของร้านเขาค่ะ ว้ายยยย
ซัมชองดง Samcheondong
การเดินทาง สาย 3 สถานี Anguk ทางออก 6
ย่านที่ความเก๋ากับความใหม่มาเคล้าและบรรจบกัน จนออกมากลมกล่อม ครบเครื่อง เดินย่านอินซาดงที่สะท้อนวัฒนธรรมด้านความบันเทิงสมัยโบราณฉบับเกาหลี ก็เดินข้ามถนนมา เลาะเลียบกำแพงของวังเคียงบก ก็จะมาเจอถนนสายหนึ่งที่ขึ้นกล้องซะไม่มี
สองข้างทางมีร้านขายของ เสื้อผ้าเต็มไปหมด แต่ไม่ใช่ของที่เห็นกันดาษดื่นทั่วไปนะคะ เพราะแถวนี้ เหมือนผ่านการคัดสรรมาแล้ว ว่าถ้าไม่แนวไม่ฮิปก็มาอยู่ที่นี่ไม่ได้จ้า ขนาดร้านขายถุงมือ ยังเป็นถุงทอไหมพรมตุ๊กตุ่นตุ๊กตาขายคู่เป็นพันบาท พระเจ้า แต่ที่ถูกเลยก็มี เพื่อนเราสองคนได้เสื้อหนาวแบบไม่หนามาก เนื้อดี ในราคาที่สองตัว สามร้อยบาทเท่านั้น เพราะอยู่ในช่วงเซลส์พอดิบพอดี ลดกระหน่ำมาก
เดินมาเรื่อยๆ เข้าซอยร้านแฟลกชิพคีลส์ ร้านใหญ่ๆ เดินมาอีก ก็จะผ่านร้านขายของต่างๆอีกมากมาย จะมาเห็นถนนเส้นที่มีรถวิ่งไปมาเพียบ ถนนเส้นนี้สวย มีต้นไม้ขนาบข้างสองข้างทาง และจุดไฮไลต์อย่างหนึ่งคือ กำแพงค่ะ ที่มีงานกราฟฟิติ รูปพระอาทิตย์หน้ายิ้มใหญ่ๆเลย กับท้องฟ้า แต่ที่แย่หน่อยคือ ตากล้องที่จะถ่ายรูปให้นางแบบเห็นวิวข้างหลังเป็นพระอาทิตย์เนี่ย ต้องข้ามฝั่งไปอีกฟากหนึ่ง ซึ่งก็หมายถึงการงัดสกิลการข้ามถนนที่กรุงเทพมาใช้ให้เป็นประโยชน์ค่ะ รอจังหวะรถร้างถนนสักคันสองคันก็พุ่งเลย เหนื่อยกันนิด แต่ก็คุ้มค่าความเสี่ยง
นอกจากรอจังหวะรถแล้ว ก็ต้องรอจังหวะคนเดินผ่านไปผ่านมาอีก
ภาพไม่ค่อยสวยหรอกค่ะ แต่อยากให้เห็นว่าถนนเป็นแบบนี้
ออกแนวญี่ปุ่นมากกว่าเกาหลีใช่มั้ยคะ เดี๋ยวนี้ เกาหลีให้ความสำคัญกับการแต่งร้านเอามากๆ
แถวนี้ เราจะได้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในโตเกียวย่านชิโมคิตะซาว่าเอามากๆ
บางซอยก็จะมีทางขึ้นไปบ้านคน หรือคาเฟ่บนยอดดอยแบบนี้ให้เรามาถ่ายรูปบ้าง
เดินมาเรื่อยๆ จะเจอตรอกบันไดหินที่อยู่ทางขวามือนะคะ จะมีป้ายชี้ให้ไปทางขวา ถ้าเห็นคนเดินเลี้ยวเข้าไปทางนี้เยอะๆก็ใช่เลยค่ะ จะเป็นเส้นทางยอดฮิตที่เราต้องปีนขึ้นไปประมาณสามสิบกว่าขั้นเพื่อไปย่านหมู่บ้านฮันอก ย่านที่อยู่อาศัยแบบโบราณที่เขาอนุรักษ์ไว้ และมีคนอยู่อาศัยจริงๆค่ะ เวลาเดิน ก็เงียบๆหน่อยนะคะ อย่าินทาเป็นภาษาไทยดังๆให้คนเขาจับได้ แล้วไปบอกต่อกันว่า คนไทยเสียงดัง ไม่เกรงใจชาวบ้านชาวช่อง
มุมยอดฮิต เสียดายที่มีก่อสร้างบ้านด้านขวามือ ทัศนียภาพเสียไปเล็กน้อย แต่ดีที่นางแบบดี ฮ่าๆๆ
ถ่ายจนเริ่มรู้สึกว่า แต่ละหลังก็คล้ายกันหมด ก็หยุดแล้วเข้าร้านไปซื้อของต่อดีกว่า
ร้านนี้ชื่อ แกรนแฮนด์ Granhand ขายเครื่องหอม เทียนหอมทั้งหลายแหล่ที่มีกลิ่นเฉพาะโดยทางร้านเป็นผู้ผลิตเอง เราสามารถซื้อเวิร์กช้อป ทำน้ำหอมเองได้ด้วยค่ะ แต่เสียดายที่เราไม่มีเวลา และที่สำคัญ ไม่มีเงิน
ได้ของติดไม้ติดมือ ก็สบายใจ เดินต่อได้ละ
ตัวอย่างถุงเครื่องหอมแบบแฮนด์เมด
อีกกิจกรรมหนึ่งที่เมื่อทำแล้วจะเข้ากับสถานที่มาก คือ การเช่าชุดฮันบกมเดินเฉิดฉายแถวย่านนี้ค่ะ ออกจะดูเป็นกิจกรรมนักท่องเที่ยวมาก แต่ก็ทำเถอะค่ะ เพราะมันอินเทรนด์และถ่ายรูปออกมาได้สวยดี โดยเช่าจากที่อินซาดงเลยค่ะ แล้วเดินมาที่ฝั่งซัมชองดง น่าจะประมาณ หนึ่งหมืนวอนต่อคน ไม่แพงมากค่ะ แต่ถ้าเป็นที่ร้านที่ฮันบกสวยมากๆ อาจแพงกว่านี้หน่อย
กาโรซุกิล Garosugil
เราเองเคยมาถนนเส้นนี้เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่ร้านยังเปิดอยู่ไม่กี่ร้าน จะเดินไปร้านบางร้านก็ต้องเดินเข้าซอยไปเรื่อยๆ แต่สมัยนี้ กาโรซุกิล เปลี่ยนไปมาก คึกคักไปด้วยร้านๆๆ คาเฟ่หรูๆ ดรักสโตร์ แฟลกชิพสโตร์ใหญ่ๆและคนๆๆ ที่นับวันจะเยอะขึ้นๆ แม้ไม่ใช่วันเสาร์อาทิตย์
การเดินทาง จากสถานีซินซาSinsa ออกทางออก 8 แล้วเดินเลียบถนนมาเรื่อยๆ ผ่านร้านโอลิฟยัง Olive youngที่เป็นตึกใหญ่สามสี่ชั้น จะเห็นคนเดินเลี้ยวซ้ายเข้ามาซอยหนึ่ง มีป้ายบอกว่า เป็นถนนกาโรซุค่ะ
เข้าถนนกาโรซุมาแล้ว ต้องเข้าตามตรอกหน่อยนะคะ ถึงจะเจอพวกร้านน่ารักเก๋ๆแบบนี้
ร้านขายยาร้านนี้ เลิฟมาก เพราะมีสกินแคร์ที่เราตามหาแถวโอลิฟยังแล้วไม่มีเลย
มีร้านไลน์เฟรนดส์ที่ใหญ่โตมาก เดินได้หลายชั้น แต่ขอโทษที่เก็บภาพบรรยากาศมาได้ไม่ดี เพราะกล้องก็คงหนาวเหมือนกัน เบลอตลอดๆ
ขนาดร้านสกินฟูด Skin food สาขานี้ยังน่าเดินกว่าสาขาอื่นแถวเมียงดง การแต่งร้านต้องประชันกันสุดฤทธิ์ที่นี่ค่ะ
ถนนแปะก๊วยของเขายิ่งสวยใหญ่ แม้เรามา ใบไม้จะร่วงโรยไม่เหลือซากแล้วก็ตาม แต่ความพยายามสร้างให้ถนนสายแลนด์มาร์กนี้ยังดูสวยงามได้ก็ยังไม่ลดละ คือเขาเอาผ้าห่มไหมพรมมาห่อหุ้มให้ความอบอุ่นกับต้นไม้อ่ะค่ะ จริงๆก็เพื่อต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสที่กำลังมาถึงแหละค่ะ แต่เราว่ามันเป็นไอเดียที่เก๋ดี ว่าขนาดต้นไม้ ก็คงหนาวเหมือนเราที่ตอนนี้เดินตัวห่อช้อปปิ้งบนถนนสายนี้อยู่
ขอจบการรีวิวสถานที่น่าโดนในโซลไว้แค่นี้ก่อนนะคะ พบกับรีวิวเรื่องของกินและคาเฟ่เก๋ๆในบล็อกหน้า
ผู้เขียนมีvlog เรื่องเที่ยวที่เกาหลีออกมาด้วยเช่นกันในแชนแนลของเรานะคะ
แต่ถ้าใครสนใจvlogเรื่องการเดินทางที่อื่นไปก่อน ก็เข้าไปดูได้ทางแชนแนลของเราบนยูทูป ที่เราลงเรื่องการขับรถบ้านที่แคลิฟอร์เนียกับเพื่อนๆตอนเดือนตุลาคมไปพลางๆก่อนนะคะ หาคำว่า Bkkglampgirl หรือ Bkkglampgirl studio ค่ะ ขอบคุณค่า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น